-
-
- เด็กจะฟัง พูด อ่าน เขียนได้โดยวิธีธรรมชาติและได้พัฒนาทักษะดังกล่าวไปพร้อมๆ กันอย่างเชื่อมโยง เพราะเกิดจากการคุ้นเคยกับหนังสือและมีประสบการณ์กับตัวหนังสือที่มาพร้อม กับกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
- เด็กจะมีทัศนคติที่ดีกับภาษา เพราะเด็กเกิดการเรียนรู้ภาษาด้วยตนเอง ไม่โดยบังคับให้ท่องจำ หรือมีการทำโทษเมื่อพูดผิด เขียนผิด
- เด็กจะชินกับการเรียนรู้ภาษาจากสิ่งรอบตัว และฝึกฝนให้เป็นนักอ่าน นักเรียนรู้ภาษาที่ดี เช่น จากหนังสือพิมพ์ จากนิทาน จากข้อความบนฉลากอาหาร เป็นต้น
- เด็กจะรู้จักการเข้าสังคม และการใช้ภาษาในการสื่อสารกับผู้อื่นอย่างชัดเจนและถูกต้อง ส่งเสริมให้เป็นคนมีบุคลิกภาพที่ดี
- เด็กจะมีจินตนาการ และพัฒนาการที่สมวัย เพราะเรียนรู้จากการสร้างสัญลักษณ์แทนภาษาขึ้นมาก่อนจะพัฒนามาสู่การเรียน การสอนแบบอ่านออกเขียนได้ และการใช้ประสบการณ์รอบตัวเป็นเครื่องมือสอนภาษาจะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวมากที่ สุด ทำให้เด็กรู้จักใช้ทรัพยการรอบๆ ตัวอย่างมีประโยชน์และเข้าใจความต้องการของตัวเองก่อนที่จะโดนรุกล้ำจากสิ่ง เร้าภายนอก
-
สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้ก่อนตัดสินใจให้ลูกเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจจากแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติคือ พ่อแม่ต้องไม่คาดหวังว่าลูกจะอ่านออกเขียนได้ทันทีเหมือนเด็กในโรงเรียน อื่นๆ เช่น เด็กอนุบาล 3 รุ่นเดียวกันในโรงเรียนอื่นเขียนชื่อตัวเองได้แล้ว เขียนประโยคสั้นๆ ได้ สะกดได้ อ่านประโยคง่ายๆ ได้ แต่ลูกเราที่เรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติยังเขียนไม่ได้ อ่านประโยคง่ายๆ ไม่ได้ เพราะแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ จะฝึกให้เด็กเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป และเรียนรู้ความหมายจากสิ่งรอบตัว ดังนั้นลูกเราจะรู้ความหมายของคำ ใช้คำนั้นเป็น และรู้แบบการใช้สัญชาตญาณที่จะจำไปตลอด ไม่ใช่แค่การท่องจำที่จะลืมได้ตลอดเวลาถ้ามีความรู้ใหม่ๆ เข้ามา ถ้าพ่อแม่ตัดสินใจให้ลูกเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติจะ ต้องไม่เร่งรีบ แต่ควรส่งเสริมลูกไปพร้อมๆ กับการเรียนที่โรงเรียน เช่น ชวนลูกเล่านิทาน ชวนอ่านข้อความสั้นๆ ที่เจอในชีวิตประจำวัน หรือสอนศัพท์ง่ายๆ จะช่วยให้ลูกมีทักษะการเรียนรู้ภาษาและการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ไวขึ้น เพื่อพัฒนาไปสู่การเรียนรู้อื่นๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น