...♥ Welcome to my blog ♥...ยามท้อแท้จงมองที่จุดหมาย อุปสรรคมากมายจงอย่าหวั่น เพียงยิ้มสู้ทำต่อไปเพื่อปลายฝัน ต้องมีวันสำเร็จแน่แค่ตั้งใจ


วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ภาพมุมต่างๆ

มุมต่างๆในห้องเรียน





















เทคนิคการจัดการสอนโดยThai Teachers TV โทรทัศน์ครู

  คลิ๊กที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้เพื่อดูได้เลยค่ะ
Thai Teachers TV โทรทัศน์ครู : เรียนปนเล่นกับรามเกียรติ์น้อย คุณครูมยุรี วงศ์ทองคำ รร.สามเสนวิทยาลัย

บทบาทและเทคนิคของครูในการประยุกต์การสอน

  คลิ๊กที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้เพื่อดูได้เลยค่ะ
Thai Teachers TV โทรทัศน์ครู : อ่านออกเขียนคล่อง "ทุกคน"ต้องร่วมมือ -บทบาทของครู - Literacy - The Whole Story: KS1 Teachers

ภาษาธรรมชาติ Whole Language

  คลิ๊กที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้เพื่อดูได้เลยค่ะ 

Thai Teachers TV โทรทัศน์ครู : ภาษาธรรมชาติ Whole Language ดร.วรนาท รักสกุลไทย, ดร.ภัทรดรา พันธุ์สีดา

เสริมความรู้จากThai Teachers TV (2)สนุกกับการออกเสียง

 คลิ๊กที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้เพื่อดูได้เลยค่ะ

   Thai Teachers TV โทรทัศน์ครู : ปฐมวัยให้เป็นสุข : สนุกสนานกับการออกเสียง - Phonics without tears

เสริมความรู้จากThai Teachers TV(1)

  คลิ๊กที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้เพื่อดูได้เลยค่ะ
Thai Teachers TV โทรทัศน์ครู : ปฐมวัย : พัฒนาการสื่อสารเพื่อภาษาและการคิด - EYFS Today : Developing Communication for Language and Thinking

สิ่งที่เด็กจะได้รับและสิ่งที่พ่อแม่ควรรู้เพื่อเป็นความเข้าใจในแนวการสอนมากขึ้น

สิ่งที่เด็กจะได้รับจากแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
      • เด็กจะฟัง พูด อ่าน เขียนได้โดยวิธีธรรมชาติและได้พัฒนาทักษะดังกล่าวไปพร้อมๆ กันอย่างเชื่อมโยง เพราะเกิดจากการคุ้นเคยกับหนังสือและมีประสบการณ์กับตัวหนังสือที่มาพร้อม กับกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
      • เด็กจะมีทัศนคติที่ดีกับภาษา เพราะเด็กเกิดการเรียนรู้ภาษาด้วยตนเอง ไม่โดยบังคับให้ท่องจำ หรือมีการทำโทษเมื่อพูดผิด เขียนผิด
      • เด็กจะชินกับการเรียนรู้ภาษาจากสิ่งรอบตัว และฝึกฝนให้เป็นนักอ่าน นักเรียนรู้ภาษาที่ดี เช่น จากหนังสือพิมพ์ จากนิทาน จากข้อความบนฉลากอาหาร เป็นต้น
      • เด็กจะรู้จักการเข้าสังคม และการใช้ภาษาในการสื่อสารกับผู้อื่นอย่างชัดเจนและถูกต้อง ส่งเสริมให้เป็นคนมีบุคลิกภาพที่ดี
      • เด็กจะมีจินตนาการ และพัฒนาการที่สมวัย เพราะเรียนรู้จากการสร้างสัญลักษณ์แทนภาษาขึ้นมาก่อนจะพัฒนามาสู่การเรียน การสอนแบบอ่านออกเขียนได้ และการใช้ประสบการณ์รอบตัวเป็นเครื่องมือสอนภาษาจะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวมากที่ สุด ทำให้เด็กรู้จักใช้ทรัพยการรอบๆ ตัวอย่างมีประโยชน์และเข้าใจความต้องการของตัวเองก่อนที่จะโดนรุกล้ำจากสิ่ง เร้าภายนอก

สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้ก่อนตัดสินใจให้ลูกเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ

สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจจากแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติคือ พ่อแม่ต้องไม่คาดหวังว่าลูกจะอ่านออกเขียนได้ทันทีเหมือนเด็กในโรงเรียน อื่นๆ เช่น เด็กอนุบาล 3 รุ่นเดียวกันในโรงเรียนอื่นเขียนชื่อตัวเองได้แล้ว เขียนประโยคสั้นๆ ได้ สะกดได้ อ่านประโยคง่ายๆ ได้ แต่ลูกเราที่เรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติยังเขียนไม่ได้ อ่านประโยคง่ายๆ ไม่ได้ เพราะแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ จะฝึกให้เด็กเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป และเรียนรู้ความหมายจากสิ่งรอบตัว ดังนั้นลูกเราจะรู้ความหมายของคำ ใช้คำนั้นเป็น และรู้แบบการใช้สัญชาตญาณที่จะจำไปตลอด ไม่ใช่แค่การท่องจำที่จะลืมได้ตลอดเวลาถ้ามีความรู้ใหม่ๆ เข้ามา ถ้าพ่อแม่ตัดสินใจให้ลูกเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติจะ ต้องไม่เร่งรีบ แต่ควรส่งเสริมลูกไปพร้อมๆ กับการเรียนที่โรงเรียน เช่น ชวนลูกเล่านิทาน ชวนอ่านข้อความสั้นๆ ที่เจอในชีวิตประจำวัน หรือสอนศัพท์ง่ายๆ จะช่วยให้ลูกมีทักษะการเรียนรู้ภาษาและการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ไวขึ้น เพื่อพัฒนาไปสู่การเรียนรู้อื่นๆ

การสอนภาษาแบบาธรรมชาติ

"ในความคิดของดิฉันก็คือการสอนโดยให้เด็กได้ทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน เขียน การสอนภาษาโดยใช้การสอนที่ใช้สิ่งรอบตัวเด็ก เช่นการสอนภาษาโดยให้เด็กเขียนชื่อของตนเอง ซึ่งทำให้เด็กได้รู้ว่า ชื่อของตนมีตัวสะกดอย่างไรบ้าง และก็ควรที่จะบูรณาการให้เข้ากับกิจกรรม"


ในห้องเรียนที่สอนภาษาแบบธรรมชาติจะจัดให้มีมุมที่ส่งเสริมเรื่องภาษาอย่างชัดเจน เช่น มุมห้องสมุด มุมอ่าน มุมเขียน มุมบทบาทสมมุติ มุมวิทยาศาสตร์ มุมบล็อก เป็นต้น โดยทุกมุมจะมีป้ายสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายต่างๆ ที่มีความหมายในการสื่อสารกับเด็ก มีบรรยากาศของการเรียนรู้แบบร่วมมือ เด็กมีโอกาสและเวลาที่จะตัดสินใจเลือกลงมือปฏิบัติกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ ด้วยตนเอง เด็กๆ สนใจที่จะอ่านและเขียนจากความเข้าใจและประสบการณ์ของตัวเองอย่างอิสระและมีความสุข

โรงเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ, whole language approach, สอนภาษาแบบธรรมชาติ, โรงเรียนสอนภาษา, หาโรงเรียน, เลือกโรงเรียน, โรงเรียนอนุบาล, โรงเรียนประถม, แนะนำโรงเรียน, ข้อมูลโรงเรียน, ประเภทโรงเรียน, หลักสูตรการเรียน, หลักสูตรการศึกษา, school zone, โรงเรียนใกล้บ้าน, โรงเรียนดี, โรงเรียนเด็กเก่ง, สอบเข้าเรียน, สมัครเข้าเรียน, นักเรียน, วัยเรียน, เด็กอนุบาล, การศึกษา, การเรียน, โรงเรียนทอรัก, โรงเรียนอนุบาลวัฒนาสาธิต, โรงเรียนอนุบาลสภาพร


โรงเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ, whole language approach, สอนภาษาแบบธรรมชาติ, โรงเรียนสอนภาษา, หาโรงเรียน, เลือกโรงเรียน, โรงเรียนอนุบาล, โรงเรียนประถม, แนะนำโรงเรียน, ข้อมูลโรงเรียน, ประเภทโรงเรียน, หลักสูตรการเรียน, หลักสูตรการศึกษา, school zone, โรงเรียนใกล้บ้าน, โรงเรียนดี, โรงเรียนเด็กเก่ง, สอบเข้าเรียน, สมัครเข้าเรียน, นักเรียน, วัยเรียน, เด็กอนุบาล, การศึกษา, การเรียน, โรงเรียนทอรัก, โรงเรียนอนุบาลวัฒนาสาธิต, โรงเรียนอนุบาลสภาพร
โรงเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ, whole language approach, สอนภาษาแบบธรรมชาติ, โรงเรียนสอนภาษา, หาโรงเรียน, เลือกโรงเรียน, โรงเรียนอนุบาล, โรงเรียนประถม, แนะนำโรงเรียน, ข้อมูลโรงเรียน, ประเภทโรงเรียน, หลักสูตรการเรียน, หลักสูตรการศึกษา, school zone, โรงเรียนใกล้บ้าน, โรงเรียนดี, โรงเรียนเด็กเก่ง, สอบเข้าเรียน, สมัครเข้าเรียน, นักเรียน, วัยเรียน, เด็กอนุบาล, การศึกษา, การเรียน, โรงเรียนทอรัก, โรงเรียนอนุบาลวัฒนาสาธิต, โรงเรียนอนุบาลสภาพร โรงเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ, whole language approach, สอนภาษาแบบธรรมชาติ, โรงเรียนสอนภาษา, หาโรงเรียน, เลือกโรงเรียน, โรงเรียนอนุบาล, โรงเรียนประถม, แนะนำโรงเรียน, ข้อมูลโรงเรียน, ประเภทโรงเรียน, หลักสูตรการเรียน, หลักสูตรการศึกษา, school zone, โรงเรียนใกล้บ้าน, โรงเรียนดี, โรงเรียนเด็กเก่ง, สอบเข้าเรียน, สมัครเข้าเรียน, นักเรียน, วัยเรียน, เด็กอนุบาล, การศึกษา, การเรียน, โรงเรียนทอรัก, โรงเรียนอนุบาลวัฒนาสาธิต, โรงเรียนอนุบาลสภาพร โรงเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ, whole language approach, สอนภาษาแบบธรรมชาติ, โรงเรียนสอนภาษา, หาโรงเรียน, เลือกโรงเรียน, โรงเรียนอนุบาล, โรงเรียนประถม, แนะนำโรงเรียน, ข้อมูลโรงเรียน, ประเภทโรงเรียน, หลักสูตรการเรียน, หลักสูตรการศึกษา, school zone, โรงเรียนใกล้บ้าน, โรงเรียนดี, โรงเรียนเด็กเก่ง, สอบเข้าเรียน, สมัครเข้าเรียน, นักเรียน, วัยเรียน, เด็กอนุบาล, การศึกษา, การเรียน, โรงเรียนทอรัก, โรงเรียนอนุบาลวัฒนาสาธิต, โรงเรียนอนุบาลสภาพร

การสอนภาษาสำหรับเด็กที่ไม่เหมาะสมคือ?

การสอนภาษาที่ไม่สมควรสอนให้กับเด็กปฐมวัยคือการสอนแบบแจกลูกสะกดคำหรือการที่ให้เด็กเรียนโดยเน้นด้านทักษะมากเกินไปซึ่งดิฉันมีความเห็นว่าเป็นการสอนที่สามารถทำให้เด็กเกิดความตรึงเครียดได้กับการเรียนโดยการที่ต้องท่องจำ


ยกตัวอย่างการสอนแบบแจกลูกสะกดคำเช่น
วิธีการสะกดคำตามรูปคำ
กา สะกดว่า กอ-อา-กา
คาง สะกดว่า คอ-อา-งอ

การเล่านิทาน

"การเล่านิทานดิฉันคิดว่าเป็นการส่งเสริมความรู้ทางด้านภาษาของเด็กได้เป็นอย่างดี และยังส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา พัฒนาการด้านสังคมและอารมณ์อีกด้วย เพราะเด็กจะได้มีจินตนาการสามารถคิดในรูปแบบนามธรรมในใจได้ และครูก็ควรที่จะให้เด้กได้ถามตอบด้วยเพื่อส่งเสริมภาษาของเด็ก"




การเล่านิทานเป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกิจกรรมหนึ่งที่นิยมจัดให้กับเด็ก โดยมีจุดประสงค์หลาย
อย่าง  เช่น  การต้องการปลูกฝังคุณธรรม  การสร้างความเพลิดเพลิน การพัฒนาการทางภาษา
เป็นต้น   จัดเป็นกิจกรรมหนึ่งในกิจกรรมในวงกลมหรือกิจกรรมเสริมประสบการณ์  ซึ่งเป็นกิจกรรม
ที่มุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนาทักษะการเรียนรู้  ฝึกการทำงานและอยู่ร่วมกันป็นกลุ่มทั้งกลุ่มย่อยและกลุ่ม
ใหญ่   กิจกรรมที่จัดมุ่งฝึกให้เด็กได้มีโอกาสฟัง  พูด  สังเกต  คิดแก้ปัญหา  ใช้เหตุผล  และฝึกปฏิบัติ
เพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน  โดยจัดกิจกรรมด้วยวิธีต่างๆ  เช่น  การอภิปราย
การสาธิต  การทดลอง  เล่นบทบาทสมมติ ท่องคำคล้องจอง  ศึกษานอกสถานที่  เป็นต้น  การเล่านิทาน
ถือว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ใช้ในกิจกรรมเสริมประสบการณ์   หลังจากการเล่านิทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ครูควรใช้คำถามปลายเปิดเพื่อให้เด็กได้ตอบคำถามโดยใช้ความคิดของตนเอง  สิ่งทีสำคัญครูจะ
ต้องใจเย็น เพื่อให้เด็กได้คิดคำตอบ  ซึ่งจะต้องหลีกเลี่ยงคำตอบที่  ใช่  หรือ  ไม่ใช่   หรือมีคำตอบ
ให้เด็กเลือก   กิจกรรมนี้นอกจากเหมาะสมที่ครูใช้แล้ว  ควรส่งเสริมให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้ทำกิจกรรม

เด็กควรได้รับรู้ความรู้ทางภาษาโดยองค์รวม

 ฟัง พูด อ่าน เขียน ครูควรจะบูรณาการโดยการจัดกิจกรรม

สาระที่ควรเรียนรู้ โดยปกติเป็นเรื่องราวรอบตัวเด็กที่นำมาเป็นสื่อในการจัดกิจกรรมให้เด็กเกิด การเรียนรู้ ผ่านประสบการณ์สำคัญ ได้แก่ เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก ธรรมชาติรอบตัว และสิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก อย่างไรก็ตามครูควรทำความเข้าใจสาระที่ควรเรียนรู้ตามลักษณะการใช้ภาษาที่ แฝงอยู่ในการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย ดังนี้
    1 การฟัง เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้เสียงที่ได้ยิน การตระหนักถึงความหมายของเสียงนั้นในบริบทแวดล้อม และการตีความสิ่งที่ได้ยินโดยเชื่อมโยงกับความรู้เดิม การรวบรวมข้อมูล การจินตนาการ หรือความชื่นชอบของเด็ก ทั้งนี้ สาระที่ควรเรียนรู้เกี่ยวกับการฟังแบ่งออกเป็น 3 ด้าน (Jalongo, 1992: 67) ได้แก่

        (1) ด้านความสามารถในการได้ยินและจับใจความ ซึ่งขึ้นอยู่กับประสบการณ์และภูมิหลังของเด็ก ครูจึงต้องปรับกิจกรรมให้เหมาะสมกับความต้องการและความจำเป็นนั้นๆ
        (2) ด้านความตั้งใจฟัง เกิดขึ้นเมื่อมีแรงจูงใจ มีเหตุผลที่ดี หรือมีประโยชน์ต่อเด็ก
        (3) ด้านนิสัยในการฟัง เป็นพฤติกรรมตอบสนองต่อสถานการณ์ในการฟัง นิสัยที่ดีในการฟังเกิดจากการที่เด็กมีความสนใจ ได้รับข้อมูลหรือสารที่ชัดเจน และการได้ตอบสนองต่อสิ่งที่ได้ยิน

        ดังนั้น สิ่งที่ครูควรตระหนักและวางแผนในการกำหนดสาระที่เด็กควรเรียนรู้ด้านการฟัง คือ การช่วยให้เด็กมีความไวต่อการใช้บริบท หรือสิ่งชี้แนะเพื่อการตีความ และการเชื่อมโยงสิ่งที่ได้ยินกับประสบการณ์ของเด็ก โดยที่ครูเป็นผู้ช่วยให้เด็กมีประสบการณ์ต่างๆ อย่างเพียงพอ เหมาะสมกับวัย ความแตกต่างระหว่างบุคคล และความสนใจของเด็ก เพื่อเป็นแรงจูงใจที่ช่วยให้เด็กมีความตั้งใจในการฟัง และพัฒนาไปสู่การมีนิสัยที่ดีในการฟังในที่สุด

2 การพูด เป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสารกับผู้อื่น สาระที่เด็กควรเรียนรู้เพื่อให้สามารถสื่อสารกับผู้อื่นอย่างมีความหมาย และตรงตามความต้องการของเด็ก ได้แก่ 

    (1) คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเด็ก หรือคำศัพท์เกี่ยวกับเรื่องราวที่เด็กสนใจ
    (2) การเรียงลำดับคำต่างๆ เพื่อใช้ในการสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจ
    (3) การใช้คำพูดที่เป็นที่ยอมรับ และ/หรือคำพูดที่สุภาพ
    (4) การใช้คำพูดให้เหมาะสมกับบุคคลที่ต้องการสื่อสารด้วย
    (5) ความมั่นใจในการพูดกับผู้อื่น
    (6) การยอมรับความคิดที่ผู้อื่นแสดงออกด้วยการพูด
    (7) ความสนใจที่มีต่อคำใหม่ๆ สาระเหล่านี้ช่วยให้เด็กสามารถมากขึ้น


3 การอ่าน เป็นกระบวนการที่เด็กใช้ในการถอดรหัสสัญลักษณ์ และทำความเข้าใจความหมายที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอดผ่านสัญลักษณ์เหล่านั้น องค์ประกอบของการอ่านที่เด็กควรเรียนรู้ (สุภัทรา คงเรือง, 2539: 19 - 20) ได้แก่

    (1) ความรู้เกี่ยวกับการใช้หนังสือ ได้แก่ การรู้ทิศทางในการถือหนังสือ การรู้ส่วนประกอบของหนังสือ และ การรู้ทิศทางในการอ่าน
    (2) ความรู้เกี่ยวกับตัวอักษร ได้แก่ การรู้ว่าการอ่านกับการเขียนสัมพันธ์กัน การรู้จักคำคุ้นตา การรู้ว่าคำคืออะไร การรู้จักตัวอักษรตัวแรก และตัวสุดท้ายของคำ และ การรู้รูปร่างและทิศทางของตัวอักษร
    (3) ความรู้เกี่ยวกับเครื่องหมายวรรคตอน ได้แก่ การรู้ความหมายของเครื่องหมายคำพูด เครื่องหมายคำถาม และเครื่องหมายอัศเจรีย์
    (4) ความรู้เกี่ยวกับการใช้สิ่งชี้แนะในการคาดคะเนและตรวจสอบการคาดคะเน ได้แก่ การคาดคะเน และตรวจสอบการคาดคะเนโดยอาศัยภาพ ความหมายของคำ โครงสร้างของประโยค และ/หรือ พยัญชนะต้นของคำ


4 การเขียน เป็นกระบวนการแสดงออกถึงความรู้สึก ความต้องการ และความคิดผ่านทางเครื่องหมายและสัญลักษณ์ต่างๆ องค์ประกอบของการเขียนที่เด็กควรเรียนรู้ (ภาวิณี แสนทวีสุข, 2538: 9) ได้แก่
    (1) การสร้างสัญลักษณ์ภาษาเขียน หมายถึง การสร้างภาพ และ/หรือข้อความ ด้วยการวาด การลอก การจำมาเขียนทั้งที่ไม่ถูกต้องสมบูรณ์และถูกต้องสมบูรณ์ การคิดพยัญชนะขึ้นเสียงของคำ ตลอดจนการคิดสะกดคำ
    (2) ทิศทางการเขียน หมายถึง การจัดเรียงตำแหน่งของสิ่งที่เขียน ตั้งแต่การจัดเรียงตามแนวตั้งและแนวนอนอย่างสะเปะสะปะ ไปจนกระทั่งเด็กสามารถเขียนจากซ้ายไปขวา และบนลงล่างอย่างสม่ำเสมอ
    (3) วิธีถ่ายทอดความหมายของสัญลักษณ์ภาษาเขียน หมายถึง การแสดงความหมายของภาพ และ/หรือข้อความที่ตนเขียนให้ผู้อื่นรับรู้ด้วยการบอกให้ครูช่วยเขียนให้ เขียนเองบางส่วน ตลอดจนเขียนเองทั้งหมด
    (4) ความซับซ้อนของความหมาย หมายถึง ความชัดเจน ความละเอียดลออ และครอบคลุมความหมายที่ต้องการสื่อโดยใช้หน่วยไวยากรณ์ที่เป็นตัวอักษร คำ หรือประโยคง่ายๆ

        ทั้งนี้ การนำเสนอสาระการเรียนรู้ด้านภาษา ทั้งประสบการณ์สำคัญ และสาระที่ควรเรียนรู้โดยแยกตามทักษะการใช้ภาษานั้น เพื่อให้ครูมีความกระจ่างชัดต่อทักษะทางภาษาในแต่ละทักษะ ไม่ได้หมายถึงการจัดประสบการณ์ให้แก่เด็กโดยแยกแต่ละทักษะออกจากกัน การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยด้านภาษาต้องเป็นการบูรณาการทุกทักษะเข้า ด้วยกัน โดยจัดกิจกรรมที่สนับสนุนให้เด็กได้ใช้ภาษาเพื่อการสื่อความหมายในชีวิต ประจำวันอย่างแท้จริง

การจัดสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย

การจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย






        การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กด้านภาษาจำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อมให้เด็กคุ้นเคยกับการใช้ภาษาอย่างมีความหมาย และเป็นองค์รวม เนื่องจากสภาพแวดล้อมในห้องเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญที่ส่งผลต่อความต้องการใน การเรียนภาษาของเด็ก การจัดสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการเรียนภาษาของเด็กต้อง สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ของเด็ก ส่งเสริมให้เด็กสำรวจ ปฏิบัติจริง เป็นผู้กระทำด้วยตนเอง เปิดโอกาสให้เด็กเป็นอิสระได้สังเกตและตั้งสมมุติฐาน ส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับบุคคลรอบข้าง เป็นสิ่งแวดล้อมที่เน้นความหมายมากกว่ารูปแบบ ควรยอมรับการสื่อสารของเด็กในรูปแบบต่างๆโดยคำนึงถึงความหมายที่เด็กต้องการ สื่อมากกว่าความถูกต้องทางไวยากรณ์ (หรรษา นิลวิเชียร, 2535: 211-212) 
        ห้องเรียนที่เอื้อต่อการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยควรมีวัสดุอุปกรณ์ส่ง เสริมการรู้หนังสือที่มีคุณภาพ เด็กที่ได้อยู่ในห้องเรียนที่มีวรรณกรรมสำหรับเด็กที่มีคุณภาพมีแนวโน้มที่ จะรักการอ่าน และการอ่านวรรณกรรมที่ดีจะกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตในอนาคตของเด็ก อีกทั้งยังเป็นส่วนที่กระตุ้นให้เด็กมีความต้องการอ่านบ่อยครั้ง ซึ่งส่งผลต่อการประสบความสำเร็จในการเรียนในระดับที่สูงขึ้น ทั้งนี้วัสดุอุปกรณ์ที่ควรมีในห้องเรียนได้แก่วรรณกรรมสำหรับเด็กที่มีความ หลากหลายในด้านของผู้แต่ง และผู้วาดภาพประกอบ มีระดับความยากแตกต่างกัน มีวัสดุที่ใช้สำหรับการอ้างอิง ประกอบด้วยพจนานุกรม แผนที่ บัญชีคำศัพท์ และสารานุกรม นิตยสารสำหรับเด็ก นอกจากนี้ครูควรจัดให้มีสื่อสำหรับการเขียนทั้งกระดาษที่ไม่มีเส้น และมีเส้นหลายสี หลายแบบ หลายขนาด กระดาษบันทึกเล็กๆ ซองจดหมาย ดินสอ ปากกา สีชนิดต่างๆ เครื่องเหลาดินสอ ตรายางและแท่นประทับ นอกจากนี้ยังอาจจัดสื่อสำหรับการเย็บกระดาษ ซึ่งประกอบด้วยเครื่องเย็บกระดาษ ที่เจาะกระดาษ เชือก กาว เทปใส กระดาษกาว คลิปหนีบกระดาษ กรรไกร เป็นต้น โดยควรจัดวางให้เด็กสามารถเลือกหยิบใช้และนำมาเก็บคืนได้ด้วยตนเองด้วย 


บัันทึกอนุทินครั้งที่15

บันทึกอนุทิน ครั้งที่15
วัน/เดือน/ปี 20/ก.ย./2556

ครั้งที่11    เวลาเรียน 13.10-16.40  เวลาเข้าสอน    13.10  
                 เวลาเข้าเรียน 13.10       เวลาเลิกเรียน   16.40  






สิ่งที่ได้รับในวันนี้คือ
การที่อาจารย์ให้ทำแผนผังความคิดครั้งนี้ทำให้ ดิฉันได้สรุปข้อมูลเนื้อหาในบางส่วนที่อาจารย์สอน แล้วได้กลับมาหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อนำไปสอบ ซึ่งเป็นผลดีมากกับการทำข้อของวิชานี้



วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

บันทุกอนุทิน ครั้งที่14

บันทึกอนุทิน ครั้งที่14
วัน/เดือน/ปี 13/ก.ย./2556

ครั้งที่11    เวลาเรียน 13.10-16.40  เวลาเข้าสอน    13.10  
                 เวลาเข้าเรียน 13.10       เวลาเลิกเรียน   16.40 



 


วันนี้ได้สร้างสรรค์ผลงานเกี่ยวกับเรื่องของมุมห้องที่จะจัดให้เด็ก ก็ได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับมุมห้องแล้วก็ได้ทำงานเป็นกลุ่มสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนๆในกลุ่มและกลุ่มรอบๆข้าง


วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

บันทึกอนุทิน ครั้ง13

บันทึกอนุทิน ครั้งที่13

วัน/เดือน/ปี 6/ก.ย./2556


ครั้งที่11    เวลาเรียน 13.10-16.40  เวลาเข้าสอน    13.10  
                 เวลาเข้าเรียน 13.10       เวลาเลิกเรียน   16.40 

วันนี้เรียนเรื่องการจัดกิจกรรมและจัดสภาพแวดล้อมเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้เรื่องภาษา

สิ่งที่ได้รับในวันนี้คือ

- กิจกรรมใบ้สัตว์เป็นกิจกรรมที่ง่ายแต่เด็กได้ภาษาจากท่าทางและเสียง
- การจัดสภาพแวดล้อมให้เด็กคุ้นเคยกับการใช้ภาษาอย่างมีความหมายและองค์รวม 
(ทุกๆด้าน)
- เด็กควรที่จะทำกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะทางภาษาโดยที่ไม่เน้นเนื้อหาทางภาษา ตามความเข้าใจของดิฉันก็คือไม่ใช้การท่องจำ เช่นตัวอักษรต่างๆ แต่เน้าทางด้านภาษาที่อยู่รอบตัวของเด็ก หรือการสอนโดยใช้ภาษาธรรมชาติจะทำให้เด็กเพลิดเพลินกับการใช้ภาษามากยิ่งขึ้น
- หน้าที่ของครูในการส่งเสริมทางด้านภาษาให้กับเด็กก็คือ
มุมที่ปรากฎในห้องเรียน เช่น มุมหนังสือ มุมบทบาทสมมติ มุมศิลปะ มุมดนตร ฯลฯ
ในการจัดมุมห้องเราก็ต้องมีพื้นที่ให้เด็กทำกิจกรรมได้
จักพื้นที่ให้เด็กได้รู้สึกผ่อนคลายเมื่ออยู่ในมุม และบริเวณรอบๆห้องควรที่จะมีอุปกรณ์เรื่องเขียนให้เด็กด้วย
ภาษาสามารถแทรกอยู่ได้ทุกกิจกรรม 


       
   และวันนี้อาจารย์ก็ได้ให้คัดลายมือตัวบรรจงด้วย ซึ่งดิฉันมีความถนัดมากกับการคัดครั้งนี้เพราะทำครั้งเดียวก็ผ่านเลย ตอนดิฉันอยู่มัธยมต้นดิฉันก็ได้คัดแบบนี้ทุกๆเย็นเพราะคุณแม่ดิฉันก็เป็นครูจึงฝึกให้ดิฉันคัดอยู่บ่อยๆ







บันทึกอนุทิน ครั้งที่12

บันทึกอนุทิน ครั้งที่12 


วัน/เดือน/ปี 30/ส.ค./2556


ครั้งที่11    เวลาเรียน 13.10-16.40  เวลาเข้าสอน    13.10  
                 เวลาเข้าเรียน 13.10       เวลาเลิกเรียน   16.40


ในการเรียนครั้งนี้อาจารย์ให้จัดกลุ่มเพื่อทำสื่อที่ส่งเสริมทางด้านภาษา กลุ่มละ 1ชิ้น
 กลุ่มดิฉันได้ทำสื่อ ทายสิ...ฉันกินอะไร
จุดประสงค์ของสื่อนี้ก็คือ    ให้เด็กๆได้รู้ว่าสัตว์ตามสื่อนี้กินอะไรเป็นอาหาร


บันทึกอนุทิน ครั้งที่11

บันทึกอนุทิน ครั้งที่11

วัน/เดือน/ปี 23/ก.ค./2556

ครั้งที่11    เวลาเรียน 13.10-16.40  เวลาเข้าสอน    13.10  
                 เวลาเข้าเรียน 13.10       เวลาเลิกเรียน   16.40 


สื่อการเรียนรู้ทางภาษา

     คือ  เครื่องมือที่สร้างขึ้นมาให้เหมาะสมกับตัวเด็ก คือการที่เรียนรู้จากประสาทสัมผัส จับต้องได้หรือของจริง เพราะเด็กในวัยนี้เข้าใจในรูปธรรมจะทำให้เข้าใจง่ายและจำได้นาน

      ประเภทของสื่อการสอน
- สื่อสิ่งพิมพ์  สิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับการพิมพ์  เช่น นิทาน หนังสือพิมพ์
- สื่อวัสดุอุปกรณ์  สิ่งของต่างๆที่เป็นของจริงหรือหุ่นจำลอง
- สื่อโสตทัศนูปกรณ์ สิ่งที่นำเสนอผ่านเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ
- สื่อกิจกรรม ใช้กระบวนการคิด การปฏิบัติ  การเผชิญ  สถานการณ์นั้นๆ
- สื่อบริบท ส่งเสริมการจัดประสบการณ์  

สิ่งที่ได้รับ: ได้รู้จักสื่อต่างๆที่มีความหลากหลาย และทำให้ดิฉันได้รู้ว่าควรที่จะใช้สื่ออะไรบ้างเพื่อนำมาสอนนักเรียน และสื่อประเภทไหนที่เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆ

บันทึกอนุทิน ครั้งที่10


วัน/เดือน/ปี  16/ก.ค./2556

ครั้งที่10    เวลาเรียน 13.10-16.40  เวลาเข้าสอน    13.10  
                 เวลาเข้าเรียน 13.10       เวลาเลิกเรียน   16.40


 
กิจกรรม: ประเทศอาเซี่ยน

สิ่งที่ได้รับ:   ในการจัดกลุ่มตามที่อาจารย์บอกให้แต่ละกลุ่มทำธงของประเทศอาเซียนแตกต่างกัน

ไปดิฉันก็ได้รู้คำศัพท์ของประเทศต่างๆในอาเซียนด้วย
 

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บันทึกอนุทินครั้งที่9

วันที่ 9 สิงหาคม 2556


วันนี้อาจารย์ให้ช่วยกันแต่งนิทาน และทำหนังสือนิทานกันเป็นกลุ่มๆ


 นี่คือนิทานที่เด็กๆทำ

เมื่อทุกกลุ่มทำเสร็จอาจารย์ก็ให้เล่านิทานต่อๆกันจนจบเรื่อง





กิจกรรมวันนี้สิ่งที่ดิฉันจะนำไปใช้ในการสอนก็คือ สื่อในการสอนเกี่ยวกับนิทานเพราะนิทานสามารถกระตุ้นพัฒนาการของเด็กไ้หลายด้สนเช่นจินตนาการ และการที่ให้เด็กวาดรูประบายสี ก็เป็นการทำให้กล้ามเนื้อเล็กและกล้ามเนื้อใหญ่แข็งแรงมากขึ้น เด็กจะเพลิดเพลินและมีสมาธิมากเมื่อได้ฟังนิทาน